บทที่ 7.ทฤษฎีเมตริกซ์

เมทริกซ์ หมายถึง กลุ่มของจำนวนจริงที่นำมาจัดเรียนงกันให้เป็นแถว แต่ละแถวมมีจำนวนที่เท่าๆกัน โดยมีวงเล็บเล็ก ( ) หรือวง
เลบ็บ [ ] ปิดล้อมไว้ เช่น

โดยทั่วไปแล้วเรามักนิยมใช้อักษร A , B , C , ... แทนเมทริกซ์ และใช้ตัวอักษรพิมพ์เล็ก a , b , c , ... แทนสมาชิกของเมทริกซ์ แต่ถ้าสมาชิกของเมทริกซ์มีจำนวนมาก เราจะใช้อักษรเพียงตัวเดียวแทนสมาชิกและเขียนจำนวนต่อท้ายตัวอักษรดังกล่าวเพื่อบอกตำแหน่ง ในระดับที่ต่ำลงไปเล็กน้อย 
ช่น
   

จำนวนที่เขียนตามหลังตัวอักษรนั้นจำทำหน้าที่บ่งบอกถึงตำแหน่งของสมาชิก เช่น
เป็นสมาชิกในตำแหน่ง แถวที่ 1 หลักที่ 1
    เป็นสมาชิกในตำแหน่ง แถวที่ 3 หลักที่ 1
  เป็นสมาชิกในตำแหน่ง แถวที่ 3 หลักที่ 3
สรุปหมายถึง สมาชิกในตำแหน่ง แถวที่ i หลักที่ j  พูดกันแบบง่ายก็คือ ตัวเลขตัวหน้า คือ แถว ตัวหลัง คือ หลัก นั่นเอง
    


ถ้าเมทริกซ์ A เป็นเมทริกซ์มิติเราสามารถเขียนสัญลักษณ์แทนเมทริกซ์ A ได้ดังนี้
        แต่ในการเขียนเช่นนี้ค่อนข้างยืดยาว เราจึงนิยมใช้เขียนเป็น
                                           
                                                          
 แทน โดยที่ i (แถว) = 1 , 2 , 3 , .... , m

                                                   j (หลัก) = 1 , 2 , 3 , .... , n
      
 หรืออาจจะเขียนให้สั้นกว่านี้ได้อีกดังนี้ดังนั้น ถ้านักเรียนเห็นสัญลักษณ์นี้ ต้องทราบทันที่ว่า เมทริกซ์ A มีมิติ และมีเป็นตัวแทนของสมาชิกโดยทั่วไป       
ตัวอย่าง ถ้า  แสดงว่า เมทริกซ์ A มี 2 แถว 2 หลัก
           ดังนั้น  
แต่ละจำนวนที่ประกอบขึ้นเป็นเมทริกซ์เรียกว่า สมาชิก (Elements) ของเมทริกซ์
กำหนดให้ a เป็นเมทริกซ์ใดๆ ตำแหน่งสมาชิกของเมทริกซ์ a 

  

                                                        


มิต
ถ้าเมทริกซ์  M1M1  มีสมาชิก mm แถว  และ nn หลัก เราเรียกเมทริกซ์นั้นว่า เมทริกซ์ M1M1 มีมิติ m×nm×n หรือเรียกว่า  เมทริกซ์ M1M1 มีขนาด m×nm×n
พิจารณาเมทริกซ์ M1,M2,M3M1,M2,M3 จากตัวอย่างข้างบนเราจะได้

เมทริกซ์ M1M1  มีมิติ 2×32×3

เมทริกซ์ M2M2  มีมิติ 3×23×2

เมทริกซ์ M3M3  มีมิติ 2×22×2
แถวและคอลัมน์
เมทริกซ์ คือกลุ่มของจำนวนหรือสมาชิกของริงใดๆ เขียนเรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือจัตุรัส กล่าวคือเรียงเป็นแถวในแนวนอน และเรียงเป็นคอลัมน์ในแนวตั้ง เรามักเขียนเมทริกซ์เป็นตารางที่ไม่มีเส้นแบ่งและเขียนวงเล็บคร่อมตารางไว้ (ไม่ว่าจะเป็นวงเล็บโค้งหรือวงเล็บเหลี่ยม) เช่น
              เราเรียกแถวในแนวนอนของเมทริกซ์ว่า แถว เรียกคอลัมน์ในแนวตั้งของเมทริกซ์ว่า หลัก และเรียกจำนวนแต่ละจำนวนเในเมทริกซ์ว่า สมาชิก ของเมทริกซ์ การกล่าวถึงสมาชิกของเมทริกซ์ จะต้องระบุตำแหน่งให้ถูกต้อง เช่น จากตัวอย่างข้างบน
สมาชิกที่อยู่ในแถวที่ 2 หลักที่ 3 คือเลข 4
สมาชิกที่อยู่ในแถวที่ 2 หลักที่ 2 คือเลข 15
สมาชิกที่อยู่ในแถวที่ 3 หลักที่ 1 คือเลข 5

ชนิดของเมตริกซ์

1.เมทริกซ์ที่มีเพียงแถวเดียว เราจะเรียกว่า เมทริกซ์แถว หรือ row matrix นะคะ ตัวอย่างเช่น  ,  เป็นต้น
2.ส่วนเมทริกซ์ที่มีเพียงหลักเดียว เราเรียกว่า เมทริกซ์หลัก หรือ column matrix นั่นเอง เช่น 

3.แต่ถ้าสมาชิกทุกตัวของเมทริกซ์เป็นศูนย์หมด เราเรียกว่า เมทริกซ์ศูนย์ หรือ zero matrix แทนด้วยสัญลักษณ์
เช่น , 
4.เมทริกซ์ที่มีจำนวนแถวและจำนวนหลักเท่ากัน นั่นคือ เป็นเมทริกซ์มิติ เราเรียกเมทริกซ์ที่มีลักษณะนี้ว่า เมทริกซ์จัตุรัส หรือ squarematrix ตัวอย่าง
เช่น
  เมทริกซ์จัตุรัส จะมีสมาชิกที่อยู่ในแนวเส้นทแยงมุม 2 ลักษณะ คือ ทแยงมุมจากซ้ายบนลงมาขวาล่าง กับ ทแยงมุมจากซ้ายล่างขึ้นไปขวาบน แต่เราจะกล่าวถึง คือ สมาชิกในแนวเส้นทแยงมุมจากซ้ายบนลงมาขวาล่าง เราเรียกเส้นทแยงมุมในแนวนี้ว่า เส้นทแยงมุมหลัก (main diagonal)

การคูณเมตริกซ์












บทนิยาม ให้ 
 และ k เป็นจำนวนจริงใด ๆ จะได้ว่า



สรุปบลักษณะการคูณจำนวนจริงกับเมทริกซ์
ให้ a , b เป็นจำนวนจริง และ A , B เป็นเมทริกซ์ที่มีมิติ 

1. aA = Aa
2. (ab)A = a(bA) = b(aA)
3. a(A + B) = aA + aB
4. (a +b)A = aA + aB

เมตริกซ์
    
        เป็นคำที่ยากที่จะนิยามความหมายให้ชัดเจน แต่เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าเมตริกซ์มี ลักษณะเป็นชุดข้อมูลที่มีการเรียงกันเป็นแนวแถว (Row) และแนวหลัก (Column) ดังตัวอย่าง เมตริกซ์ A, B และ Cดังนี้ A =       5 6 7 2 3 4 , B =       3 4 1 2 , C = [1 5 6] โดยทั่วไปแล้วจะใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ (A, B, C,…) แทนเมตริกซ์ส่วนสมาชิกของเมตริกซ์จะใช้ แทนด้วยตัวพิมพ์เล็กพร้อมทั้งระบุตำแหน่งของสมาชิกว่าอยู่ต าแหน่งใดของเมตริกซ์ตัวอย่างเช่น a12 จะแทนสมาชิกในแถวที่ 1 หลักที่ 2 ของ
เมตริกซ์ A และ b22 จะแทน สมาชิก ในแถวที่  2 หลักที่  2 ของเมตริกซ์ B เป็นต้น

ในคณิตศาสตร์ เมทริกซ์ หรือ เมตริกซ์ (อังกฤษ: matrix) คือตารางสี่เหลี่ยมที่แต่ละช่องบรรจุจำนวนหรือโครงสร้างทางคณิตศาสตร์ที่สามารถนำมาบวกและคูณกับตัวเลขได้ เราสามารถใช้เมทริกซ์แทนระบบสมการเชิงเส้น การแปลงเชิงเส้น และใช้เก็บข้อมูลที่ขึ้นกับตัวแปรต้นสองตัว เราสามารถบวก คูณ และแยกเมทริกซ์ออกเป็นผลคูณของเมทริกซ์ได้หลายรูปแบบ เมทริกซ์เป็นแนวความคิดที่มีความสำคัญยิ่งของพีชคณิตเชิงเส้น โดยทฤษฎีเมตริกซ์เป็นสาขาหนึ่งของพีชคณิตเชิงเส้นที่เน้นการศึกษาเมตริกซ์


ชนิดของเมตริกซ์ 
             1. เมทริกซ์จัตุรัส
             2. เมทริกซ์เอกลักษณ์
             3. เมทริกซ์ศูนย์
             4. เมทริกซ์ทแยงมุม
             5. เมทริกซ์สเกลาร์
             6. เมทริกซ์สลับเปลี่ยน
  1. เมทริกซ์จัตุรัส เป็นเมทริกซ์ที่มีจำนวนแถวและจำนวนสดมภ์เท่ากัน







เช่น         A = เป็นเมทริกซ์จัตุรัสมิติ 2x2 ที่มีจำนวนแถว 2 แถวและจำนวนสดมภ์ 2 สดมภ์

                  B =  เป็นเมทริกซ์จัตุรัสมิติ 3x3 ที่มีจำนวนแถว 3 แถวและจำนวนสดมภ์ 3 สดมภ์

           2. เมทริกซ์เอกลักษณ์ เป็นเมทริกซ์จัตุรัสที่สมาชิกในตำแหน่งแถวเท่ากับตำแหน่งสดมภ์จะมีสมาชิกมีค่าเป็น 1 และในทางกลับกันสมาชิก ในตำแหน่งแถวไม่เท่ากับตำแหน่งสดมภ์ จะมีสมาชิกมีค่าเป็น 0
เป็นตัวอย่างของเมทริกซ์เอกลักษณ์มิติ 2x2

             เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์มิติ 2x2  ตำแหน่งแถวเท่ากับตำแหน่งสดมภ์ มีสมาชิกในตำแหน่งแถวที่ 1 สดมภ์ที่ 1 และสมาชิกที่อยู่ตำแหน่งแถวที่ 2 สดมภ์ที่ 2 มีค่าสมาชิกเป็น  1  ตำแหน่งแถวไม่เท่ากับตำแหน่งสดมภ์  สมาชิกที่อยู่
ในตำแหน่งแถวที่ 1 สดมภ์ที่ 2 และ สมาชิกที่อยู่ในตำแหน่งแถวที่ สดมภ์ที่ 1 มีค่าเป็น  0


  แสดงเมทริกซ์เอกลักษณ์มิติ 3x3
B = 

            B เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์มิติ 3x3  ที่มีสมาชิกที่อยู่ในตำแหน่งแถวที่ 1 สดมภ์ที่ 1, ตำแหน่งแถวที่ 2 สดมภ์ที่ 2 และ ตำแหน่งแถวที่ 3 สดมภ์ที่ 3 เป็น 1 เพราะตำแหน่งแถวเท่ากับตำแหน่งสดมภ์  ที่เหลือของสมาชิกมีค่าเป็น
เพราะตำแหน่งแถวไม่เท่ากับตำแหน่งสดมภ์

           
   ดังนั้นสามารถเขียนสมาชิกของเมทริกซ์เอกลักษณ์เป็นรูปทั่วไปได้ดังนี้
aij =

     , i เท่ากับ j
     , i ไม่เท่ากับ j
                เมื่อ  i    เป็นตำแหน่งแถว และ  j เป็นตำแหน่งสดมภ์
                      aij   เป็นสมาชิกของตำแหน่งแถวที่ และตำแหน่งสดมภ์ที่ j
               3. เมทริกซ์ศูนย์  เป็นเมทริกซ์ที่มีสมาชิกทุกตัวเป็นศูนย์

                            แสดงเมทริกซ์ที่มีสมาชิกเป็นศูนย์ทั้งที่เป็นไม่ใช่เมทริกซ์จัตุรัสและเมทริกซ์จัตุรัส
                                        
   

                 จะเห็นว่าเมทริกซ์ทางซ้าย  ตอนกลาง  เป็นเมทริกซ์ที่ไม่ใช่จัตุรัส แต่ที่สมาชิกเป็นศูนย์  ส่วนเมทริกซ์ขวาสุด  เป็นเมทริกซ์จัตุรัส ที่มีสมาชิกทุกตัวเป็นศูนย์

                4. เมทริกซ์ทแยงมุม เป็นเมทริกซ์จัตุรัสที่มีสมาชิกที่อยู่เหนือและใต้ทแยงมุมเป็นศูนย์

                             แสดงเมทริกซ์ทแยงมุมที่มีมิติ 2x2, 3x3

                                       
        

                   ข้อสังเกต สมาชิกที่อยู่ในแนวทแยงมุมมีค่าไม่เท่ากัน แต่สมาชิกที่อยู่เหนือหรือใต้เส้นทแยงมุมเป็นศูนย์


                 5. เมทริกซ์สเกลาร์  เป็นเมทริกซ์จัตุรัส ที่มีสมาชิกที่อยู่ในแนวทแยงมุมเท่ากัน และสมาชิกที่อยู่เหนือ, ใต้ทแยงมุมเป็นศูนย์

                                    แสดงเมทริกซ์สเกลาร์มิติ 2x2, 3x3

                                           
               จะเห็นว่าสมาชิกในแนวทแยงมีค่าเท่ากันแต่สมาชิกที่อยู่เหนือทแยงมุมและใต้ทแยงมุมเป็นศูนย์ 


          6. เมทริกซ์สลับเปลี่ยน เป็นเมทริกซ์ที่มีสมาชิกที่อยู่ในแนวแถวมาจากสมาชิกในแนวสดมภ์ห รือสมาชิกที่อแนวสมาชิกที่อยู่ในแนวสดมภ์ เป็นสมาชิกในแนวแถว ซึ่งมีสัญลักษณ์ เป็น AT หรือ At

                             ให้ A เป็นเมทริกซ์มิติ 2x2 และ B เป็นเมทริกซ์มิติ 2x3
A = , B =
                       2x2                          2x3
การดำเนินการเมทริกซ์

           ดีเทอร์มิแนนต์
    ในสาขาพีชคณิต ดีเทอร์มิแนนต์ (อังกฤษ: determinant) คือฟังก์ชันหนึ่งที่ให้ผลลัพธ์เป็นปริมาณสเกลาร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับค่าของ n ในมิติ n×n ของเมทริกซ์จัตุรัส A ส่วนความหมายทางเรขาคณิตเบื้องต้น ดีเทอร์มิแนนต์คือตัวประกอบ
มาตราส่วน (scalefactor) ของปริมาตร เมื่อ A ถูกใช้เป็นการแปลงเชิงเส้น ดีเทอร์มิแนนต์ถูกใช้ประโยชน์ในเรื่องพีชคณิตเชิงหลายเส้น (multilinearalgebra) และแคลคูลัส ซึ่งใช้สำหรับกฎการแทนที่ (substitutionrule)   
ในตัวแปรบางกลุ่มสำหรับจำนวนเต็มบวก n ที่กำหนดขึ้น  ฟังก์ชันดีเทอร์มิแนนต์จะมีเพียงหนึ่งเดียวบนเมทริกซ์มิติ n×n เหนือริงสลับที่ใดๆ (commutative ring) โดยเฉพาะเมื่อฟังก์ชันนี้นิยามไว้บนริงสลับที่ที่เป็นฟีลด์ของ
จำนวนจริง หรือจำนวนเชิงซ้อน
                 อินเวอร์สการคูณเมทริกซ์ (Matrix Inverse)

                         ให้ A เป็นเมทริกซ์มิติ n×n  ถ้า B เป็นเมทริกซ์มิติ n×n และมีสมบัติว่า
                                                        AB=BA=In

           เมื่อ In เป็นเมทริกซ์เอกลักษณ์แล้วเราเรียก B ว่าเป็นเมทริกซ์อินเวอร์สของ A และเขียน B แทนด้วย A1

                         อินเวอร์สของเมทริกซ์ขนาด 2×2

                        
                           ให้ A=[acbd] และ detA=adcbแล้ว

                                            A1=1adcb[dcba]
      ตัวอย่างการหาอินเวอร์สของเมทริกซ์ขนาด 2×2

                                     ให้ A=[1324
                         เนื่องจาก detA=1423=2ดังนั้น Aหาค่าได้คือ
    
                                        A1==12[4321][232112]


การแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยใช้เมตริกซ์
            การแก้ระบบสมการเชิงเส้นโดยวิธีนี้จะใช้ได้สะดวกที่สุดเมื่อระบบสมการเชิงเส้นมี 2 ตัวแปรแต่เมื่อระบบสมการเชิงเส้นของเรามีตัวแปรมากกว่า 3ตัวแปร ในบางครั้งการแก้ระบบสมการโดยวิธีนี้ค่อนข้างจะยุ่งยากจึงไม่เป็นที่นิยม
การแก้ระบบสมการเชิงเส้น 2 ตัวแปรโดยการกำจัดตัวแปรให้ระบบสมการ      

                         x2y2x+1y==3(1)1(2)
                 นำ 2×(2)             จะได้    4x+2y=2(3)
                นำสมการ (1)+(3)    จะได้    5x=5

                ดังนั้นเราได้ x=1
                เมื่อนำค่า x=ไปแทนในสมการ (1) จะได้  y=1
                ดังนั้น x=1,y=1 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น